วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ เหนือวันปล่อยผี Halloween Day

วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็ง (ทางเหนือ) วันปล่อยผี


ประเพณีอุทิศหาผู้ตาย บางทีเรียกว่า ประเพณีเดือน 12 เป็ง ประชาชนวังฟ่อนนิยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษของตน คือ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า    ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ประเพณีรวมไปถึงอุทิศหาผีตาย ปล่อยผีปล่อยเปรต ให้มารับส่วนบุญซึ่งประเพณีนี้มีมาก่อนผมเกิดหลายปีครับจึงได้ยินแต่คำ บอกกล่าวเล่าขานสืบทอดกันมา เรามาดูทางศาสนาดูบ้างนะครับว่าเกี่ยวข้องยังไงกับ วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็ง (ทางเหนือ)  บ้าง ตำนานทางพุทธศาสนากล่าวถึง เปรตญาติของพระราชาพิมพิสารไว้ดังนี้

ในกัลปที่ 92 นับแต่ภัทรกัลปนี้ขึ้นไปถึงศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “ปุสสะ” พระพุทธบิดาทรงพระนามว่า “พระเจ้าชยเสนะ” พระพุทธมารดามีพระนามว่า “ศิริมา” พระเจ้าชยเสนะยังมีพระราชบุตรอีก 3 องค์ ต่างพระมารดา และเป็นพระกนิษฐาภาดาของพระปุสสะพระพุทธเจ้า
ราชบุตรทั้ง 3 นี้ มีเจ้าพนักงานรักษาคลังหนึ่งเก็บส่วยในชนบท กาลต่อมาพระราชบุตรทั้งสามมีพระประสงค์จะบำเพ็ญกุศลบำรุงพระศาสนา ผู้เป็นพระเชษฐภาดา ตลอดไตรมาส (3 เดือน) จึงทูลขออนุญาตต่อพระราชบิดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว พระราชบุตรทั้งสามจังตรัสสั่งเจ้าพนักงานผู้เก็บส่วยในชนบทของพระองค์ให้ สร้างวิหาร ครั้นสร้างเสร็จแล้ว พระราชบุตรทั้งสามจึงนำเสด็จพระพุทธเจ้าไปที่วิหาร และทูลถวายวิหารแก่พระศาสดา แล้วสั่งเจ้าพนักงานรักษาพระคลังและพนักงานเก็บส่วยว่า เจ้าจงดุแลจัดของเคี้ยวของฉันถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ 90,000 องค์ที่เป็นพุทธบริวารและตัวเราทั้งสามกับบริวารด้วยทุก ๆ วัน ตลอดจนไตรมาสด้วย ตั้งแต่วันนี้ไปเราจักไม่พูดอะไร ตรัสแล้วก็พาบริวาร 1,000 องค์สมาทานศีล 10 แล้วประทับอยู่ในวิหารตลอดไตรมาส
เจ้าพนักงานรักษาพระคลัง และเจ้าพนักงานเก็บส่วน ผลัดกันดูแลทานวัตต์ตามความประสงค์ของพระราชบุตรทั้งสามด้วยความเคารพ ครั้งนั้นชาวชนบทบางพวกมีจำนวน 84,000 คนได้ทำอันตรายต่อทานวัตต์ของพระราชบุตรทั้งสาม มีกินไทยธรรมเสียเองบ้าง ให้แก่บุตรเสียบ้าง เผาโรงครัวเสีย ชนเหล่านั้นครั้นทำลายขันธ์แล้วจึงไปบังเกิดในนรก
กาลล่วงไปถึง 92 กัลปจนถึงกัลปนี้ ในพระพุทธศาสนา พระกัสสปะ สัมมาสัมพุทธเจ้า ชนเหล่านี้มีจิตอันอันอกุศลเบียบเบียนแล้วนั้น ได้มาบังเกิดในหมู่เปรต ครั้งนั้นมนุษย์ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตที่เป็นญาติของตน เปรตเหล่านั้นก็ได้ซึ่งทิพย์สมบัตินานาประการ แต่หมู่เปรตผู้ทำลายเครื่องไทยธรรมพระราชบุตรทั้งสามนั้น หาได้รับส่วนกุศลไม่ เปรตเหล่านั้นจึงทูลถามพระกัสสปะพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้านี้จะพึงได้สมบัติอย่างนี้บ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สมบัติในบัดนี้ ต่อไปภายหน้าในพุทธกาลแห่งพระโคดมพระพุทธเจ้า ญาติของท่านทั้งหลายจักได้เป็นพระราชา ทรงพระนามว่า “พิมพิสาร” และจักได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วอุทิศผลบุญถึงท่านทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละท่านจะได้สมบัติอย่างนี้
การล่วงมาได้พุทธันตรหนึ่งถึงพระพุทธศาสนา พระสัมมาพุทธเจ้าของเรานี้     เจ้าพนักงานผู้เก็บส่วนพระราชบุตรทั้งสามได้มาบังเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารเมื่อได้ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าก็ได้ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล และได้ถวายไทยธรรมแด่พระพุทธเจ้า แต่หาได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตที่เป็นญาติไม่เปรตที่เป็นญาติเหล่านั้นมา คอยรับส่วนกุศลอยู่ เมื่อมิได้รับส่วนกุศลตามความปรารถนาก็เสียใจ พอถึงเวลาราตรีหนึ่งก็ส่งเสียงร้องเรียกแปลกประหลาดน่าสะพึงกลัว ครั้งรุ่งสางขึ้น พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จเข้าเฝ้าพระศาสดาทูลถามเหตุนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสเนื้อความทั้งปวงแต่หนหลังให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เข้าไปรับเครื่องไทยธรรมในพระราช นิเวศน์ แล้วพระราชาทรงกระทำทักษ์โณทก      ทรงอุทิศว่าอุทกนี้จงถึงหมู่ญาติของเรา
ขณะนั้นฝูงเปรตที่มีความกระวนกระวาย และร่างกายที่น่าเกลียดน่ากลัวก็สูญหายไป กลับมีผิวพรรณงามผ่องใสดังทอง แล้วพระราชาถวายยาคูและของเคี้ยวอุทิศถึงญาติอีก ยาคูและของเคี้ยวอันเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นในสำเร็จประโยชน์แก่ฝูงเปรตที่เป็น ญาติเหล่านั้น แล้วพระราชาถวายผ้าและเสนาสนะทรงอุทิศถึงญาติอีก ผ้าและเครื่องเสนาอาสนะปราสาทแต่ล้วนเป็นทิพย์ ให้สำเร็จประโยชน์แก่ฝูงเปรตเหล่านั้น แล้วสมเด็จพระทศพลก็ทรงอธิษฐานให้พระเจ้าพิมพิสารได้ทัศนาการฝูงเปรตที่เป็น ญาติเหล่านั้นได้ประสบความสุข พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงพระโสมนัสยิ่งนัก
ในครั้งนั้นมีเรื่องสืบมาว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาติโรกุฑสูตร ทรงสรรเสริญทานที่ทายกอุทิศบริจาคแก่ญาติที่ตายไปแล้วอีกหลายวัน แล้วกล่าวคำอุทิศถึงญาติว่า “อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตโย ฯ” ทานนี้จงถึงญาติทั้งหลาย (ที่เกิดในเปรตวิสัย) ขอญาติเหล่านั้นจงมีความสุข (คือได้เสวยผลแห่งทานได้ความสำราญ)
อนึ่งผู้บริจาคทานนั้นก็หาได้ไร้ผลไม่ เป็นการสร้างสมบุญกุศลให้เพิ่มยิงขึ้น กลับมีอานิสงฆ์ยิ่งใหญ่ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนาอีก การร้องไห้เศร้าโศกปริเวทนา หาผู้ที่ตายไปไม่เป็นประโยชน์อย่างไรแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว มีแต่การทำบุญอุทิศกุศลเท่านั้นจะได้ผลแก่เขาในปรภพแล
ในวันเดือน 12 เหนือขึ้น 14 ค่ำ จะเป็นวันแต่งดาเตรียมข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ไว้พร้อมสรรพ รุ่งขึ้นเป็นวันเดือน 12 เพ็ญ ชาวบ้านจะนำเอาอาหารใส่ถาดไปวัดและจะถวายแด่พระภิกษุเรียกว่า “ทานขันข้าว” มีการหยาดน้ำอุทิศบุญกุศลด้วยโดยให้พระเป็นผู้กรวดให้เพราะถือว่าท่านเป็น ผุ้ทรงศีลบุญกุศลจะถึงแก่ผู้ตายได้ง่าย
การทำบุญอุทิศกุศลนั้น มีการทำ 2 แบบ คือ อุทิศแก่ผู้ตายธรรมดา 1. อุทิศแก่ผู้ตายโดยอุบัติเหตุพวกผีตายโหง 2. อุทิศแก่ผู้ตายธรรมดาญาติจะนำอาหารไปถวายที่วัด ถือว่าวิญญาณผู้ตายธรรมดาจะเข้าออกวัดได้โดยสะดวก ส่วนผีตายโหงนั้น เข้าวัดไม่ได้เพราะอำนาจแห่งเวรกรรม ญาติต้องถวายอาหารพระนอกวัด คือ นิมนต์พระมานอกกำแพงวัดแล้วถวาย เช่นเดียวกับบุญข้าวประดับดินของอีสาน
การทำบุญอุทิศถึงผู้ตายนี้ ถ้ามีญาติหลายคนที่ตายไปแล้วจะต้องอุทิศให้คนละขัน หรือคนละถาดกล่าวคือจะต้องถวายหลายครั้งตามจำนวนคน แต่บางรายก็จดรายชื่อให้พระ เวลาพระให้พรจะได้ออกชื่อผู้ตายตัวอย่างคำให้พรอุทิศแก่ผู้ตายดังนี้ “ดีและอัชชะในวันนี้ก็หากเป็นวันดี สะหรีอันประเสริฐล้ำเลิศกว่าวันดังหลาย บัดนี้หมายมีมูลศรัทธา…(ชื่อผู้ถวาย)….ได้สระหนงขงขวายตกแต่งแปงพร้อมน้อมนำ มา ยังมธุบุปผาลาชาดวงดอกข้าวตอกดอกไม้ลำเทียน ข้าวน้ำโภชนะอาหารมาถวายเป็นทานเพื่อจักอุทิศะผละหน้าบุญ ผู้อันจุติตาย มีนามกรว่า ..(ผู้ตาย)…หากว่าได้วางอารมณ์อาลัย มรณะจิตใจไปบ่ช่าง ไปตกท้องหว่างจตุราบาย ร้อนบ่ได้อาบอยากบ่ได้กิ๋น ดังอั้นก็ดี ขอผละหน้าบุญอันนี้ไปอุ้มปกยกออก จากที่ร้ายคล้ายมาสู่ที่ดี หื้อได้เกิดเป็นเทวบุตร เทวดา อินทาพรหมตนประเสริฐดั่งอั้นก็ดี ขอผละหน้าบุญอันนี้ไปเตื่อมแถม ยังสะหรีสัมปติยิ่งกว่าเก่า สุขร้อยเท่าพันปูน ผละหน้าบุญนี้ชักนำรอดเถิงเวียงแก้วยอดเนรพานนั้นจุ่งจักมีเที่ยงแท้ดีหลี…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น