วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็ง (ทางเหนือ) วันปล่อยผี
ประเพณีอุทิศหาผู้ตาย บางทีเรียกว่า
ประเพณีเดือน 12 เป็ง
ประชาชนวังฟ่อนนิยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษของตน คือ พ่อแม่
ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
ประเพณีรวมไปถึงอุทิศหาผีตาย ปล่อยผีปล่อยเปรต
ให้มารับส่วนบุญซึ่งประเพณีนี้มีมาก่อนผมเกิดหลายปีครับจึงได้ยินแต่คำ
บอกกล่าวเล่าขานสืบทอดกันมา
เรามาดูทางศาสนาดูบ้างนะครับว่าเกี่ยวข้องยังไงกับ วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12
เป็ง (ทางเหนือ) บ้าง ตำนานทางพุทธศาสนากล่าวถึง
เปรตญาติของพระราชาพิมพิสารไว้ดังนี้
ในกัลปที่ 92
นับแต่ภัทรกัลปนี้ขึ้นไปถึงศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “ปุสสะ”
พระพุทธบิดาทรงพระนามว่า “พระเจ้าชยเสนะ” พระพุทธมารดามีพระนามว่า “ศิริมา”
พระเจ้าชยเสนะยังมีพระราชบุตรอีก 3 องค์ ต่างพระมารดา
และเป็นพระกนิษฐาภาดาของพระปุสสะพระพุทธเจ้า
ราชบุตรทั้ง 3 นี้
มีเจ้าพนักงานรักษาคลังหนึ่งเก็บส่วยในชนบท
กาลต่อมาพระราชบุตรทั้งสามมีพระประสงค์จะบำเพ็ญกุศลบำรุงพระศาสนา
ผู้เป็นพระเชษฐภาดา ตลอดไตรมาส (3 เดือน) จึงทูลขออนุญาตต่อพระราชบิดา
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว
พระราชบุตรทั้งสามจังตรัสสั่งเจ้าพนักงานผู้เก็บส่วยในชนบทของพระองค์ให้
สร้างวิหาร ครั้นสร้างเสร็จแล้ว
พระราชบุตรทั้งสามจึงนำเสด็จพระพุทธเจ้าไปที่วิหาร
และทูลถวายวิหารแก่พระศาสดา
แล้วสั่งเจ้าพนักงานรักษาพระคลังและพนักงานเก็บส่วยว่า
เจ้าจงดุแลจัดของเคี้ยวของฉันถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ 90,000
องค์ที่เป็นพุทธบริวารและตัวเราทั้งสามกับบริวารด้วยทุก ๆ วัน
ตลอดจนไตรมาสด้วย ตั้งแต่วันนี้ไปเราจักไม่พูดอะไร ตรัสแล้วก็พาบริวาร
1,000 องค์สมาทานศีล 10 แล้วประทับอยู่ในวิหารตลอดไตรมาส
เจ้าพนักงานรักษาพระคลัง
และเจ้าพนักงานเก็บส่วน
ผลัดกันดูแลทานวัตต์ตามความประสงค์ของพระราชบุตรทั้งสามด้วยความเคารพ
ครั้งนั้นชาวชนบทบางพวกมีจำนวน 84,000
คนได้ทำอันตรายต่อทานวัตต์ของพระราชบุตรทั้งสาม มีกินไทยธรรมเสียเองบ้าง
ให้แก่บุตรเสียบ้าง เผาโรงครัวเสีย
ชนเหล่านั้นครั้นทำลายขันธ์แล้วจึงไปบังเกิดในนรก
กาลล่วงไปถึง 92 กัลปจนถึงกัลปนี้
ในพระพุทธศาสนา พระกัสสปะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
ชนเหล่านี้มีจิตอันอันอกุศลเบียบเบียนแล้วนั้น ได้มาบังเกิดในหมู่เปรต
ครั้งนั้นมนุษย์ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตที่เป็นญาติของตน
เปรตเหล่านั้นก็ได้ซึ่งทิพย์สมบัตินานาประการ
แต่หมู่เปรตผู้ทำลายเครื่องไทยธรรมพระราชบุตรทั้งสามนั้น
หาได้รับส่วนกุศลไม่ เปรตเหล่านั้นจึงทูลถามพระกัสสปะพุทธเจ้าว่า
ข้าพระพุทธเจ้านี้จะพึงได้สมบัติอย่างนี้บ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สมบัติในบัดนี้
ต่อไปภายหน้าในพุทธกาลแห่งพระโคดมพระพุทธเจ้า
ญาติของท่านทั้งหลายจักได้เป็นพระราชา ทรงพระนามว่า “พิมพิสาร”
และจักได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วอุทิศผลบุญถึงท่านทั้งหลาย
เมื่อนั้นแหละท่านจะได้สมบัติอย่างนี้
การล่วงมาได้พุทธันตรหนึ่งถึงพระพุทธศาสนา
พระสัมมาพุทธเจ้าของเรานี้
เจ้าพนักงานผู้เก็บส่วนพระราชบุตรทั้งสามได้มาบังเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร
และพระเจ้าพิมพิสารเมื่อได้ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าก็ได้ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล และได้ถวายไทยธรรมแด่พระพุทธเจ้า
แต่หาได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตที่เป็นญาติไม่เปรตที่เป็นญาติเหล่านั้นมา
คอยรับส่วนกุศลอยู่ เมื่อมิได้รับส่วนกุศลตามความปรารถนาก็เสียใจ
พอถึงเวลาราตรีหนึ่งก็ส่งเสียงร้องเรียกแปลกประหลาดน่าสะพึงกลัว
ครั้งรุ่งสางขึ้น พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จเข้าเฝ้าพระศาสดาทูลถามเหตุนั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเนื้อความทั้งปวงแต่หนหลังให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ
พระเจ้าพิมพิสารจึงอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เข้าไปรับเครื่องไทยธรรมในพระราช
นิเวศน์ แล้วพระราชาทรงกระทำทักษ์โณทก
ทรงอุทิศว่าอุทกนี้จงถึงหมู่ญาติของเรา
ขณะนั้นฝูงเปรตที่มีความกระวนกระวาย
และร่างกายที่น่าเกลียดน่ากลัวก็สูญหายไป กลับมีผิวพรรณงามผ่องใสดังทอง
แล้วพระราชาถวายยาคูและของเคี้ยวอุทิศถึงญาติอีก
ยาคูและของเคี้ยวอันเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นในสำเร็จประโยชน์แก่ฝูงเปรตที่เป็น
ญาติเหล่านั้น แล้วพระราชาถวายผ้าและเสนาสนะทรงอุทิศถึงญาติอีก
ผ้าและเครื่องเสนาอาสนะปราสาทแต่ล้วนเป็นทิพย์
ให้สำเร็จประโยชน์แก่ฝูงเปรตเหล่านั้น
แล้วสมเด็จพระทศพลก็ทรงอธิษฐานให้พระเจ้าพิมพิสารได้ทัศนาการฝูงเปรตที่เป็น
ญาติเหล่านั้นได้ประสบความสุข พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงพระโสมนัสยิ่งนัก
ในครั้งนั้นมีเรื่องสืบมาว่า
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาติโรกุฑสูตร
ทรงสรรเสริญทานที่ทายกอุทิศบริจาคแก่ญาติที่ตายไปแล้วอีกหลายวัน
แล้วกล่าวคำอุทิศถึงญาติว่า “อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตโย ฯ”
ทานนี้จงถึงญาติทั้งหลาย (ที่เกิดในเปรตวิสัย) ขอญาติเหล่านั้นจงมีความสุข
(คือได้เสวยผลแห่งทานได้ความสำราญ)
อนึ่งผู้บริจาคทานนั้นก็หาได้ไร้ผลไม่
เป็นการสร้างสมบุญกุศลให้เพิ่มยิงขึ้น
กลับมีอานิสงฆ์ยิ่งใหญ่ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนาอีก
การร้องไห้เศร้าโศกปริเวทนา
หาผู้ที่ตายไปไม่เป็นประโยชน์อย่างไรแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
มีแต่การทำบุญอุทิศกุศลเท่านั้นจะได้ผลแก่เขาในปรภพแล
ในวันเดือน 12 เหนือขึ้น 14 ค่ำ
จะเป็นวันแต่งดาเตรียมข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ไว้พร้อมสรรพ
รุ่งขึ้นเป็นวันเดือน 12 เพ็ญ
ชาวบ้านจะนำเอาอาหารใส่ถาดไปวัดและจะถวายแด่พระภิกษุเรียกว่า “ทานขันข้าว”
มีการหยาดน้ำอุทิศบุญกุศลด้วยโดยให้พระเป็นผู้กรวดให้เพราะถือว่าท่านเป็น
ผุ้ทรงศีลบุญกุศลจะถึงแก่ผู้ตายได้ง่าย
การทำบุญอุทิศกุศลนั้น มีการทำ 2 แบบ คือ
อุทิศแก่ผู้ตายธรรมดา 1. อุทิศแก่ผู้ตายโดยอุบัติเหตุพวกผีตายโหง 2.
อุทิศแก่ผู้ตายธรรมดาญาติจะนำอาหารไปถวายที่วัด
ถือว่าวิญญาณผู้ตายธรรมดาจะเข้าออกวัดได้โดยสะดวก ส่วนผีตายโหงนั้น
เข้าวัดไม่ได้เพราะอำนาจแห่งเวรกรรม ญาติต้องถวายอาหารพระนอกวัด คือ
นิมนต์พระมานอกกำแพงวัดแล้วถวาย เช่นเดียวกับบุญข้าวประดับดินของอีสาน
การทำบุญอุทิศถึงผู้ตายนี้
ถ้ามีญาติหลายคนที่ตายไปแล้วจะต้องอุทิศให้คนละขัน
หรือคนละถาดกล่าวคือจะต้องถวายหลายครั้งตามจำนวนคน
แต่บางรายก็จดรายชื่อให้พระ
เวลาพระให้พรจะได้ออกชื่อผู้ตายตัวอย่างคำให้พรอุทิศแก่ผู้ตายดังนี้
“ดีและอัชชะในวันนี้ก็หากเป็นวันดี สะหรีอันประเสริฐล้ำเลิศกว่าวันดังหลาย
บัดนี้หมายมีมูลศรัทธา…(ชื่อผู้ถวาย)….ได้สระหนงขงขวายตกแต่งแปงพร้อมน้อมนำ
มา ยังมธุบุปผาลาชาดวงดอกข้าวตอกดอกไม้ลำเทียน
ข้าวน้ำโภชนะอาหารมาถวายเป็นทานเพื่อจักอุทิศะผละหน้าบุญ ผู้อันจุติตาย
มีนามกรว่า ..(ผู้ตาย)…หากว่าได้วางอารมณ์อาลัย มรณะจิตใจไปบ่ช่าง
ไปตกท้องหว่างจตุราบาย ร้อนบ่ได้อาบอยากบ่ได้กิ๋น ดังอั้นก็ดี
ขอผละหน้าบุญอันนี้ไปอุ้มปกยกออก จากที่ร้ายคล้ายมาสู่ที่ดี
หื้อได้เกิดเป็นเทวบุตร เทวดา อินทาพรหมตนประเสริฐดั่งอั้นก็ดี
ขอผละหน้าบุญอันนี้ไปเตื่อมแถม ยังสะหรีสัมปติยิ่งกว่าเก่า
สุขร้อยเท่าพันปูน
ผละหน้าบุญนี้ชักนำรอดเถิงเวียงแก้วยอดเนรพานนั้นจุ่งจักมีเที่ยงแท้ดีหลี…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น